Google AI Mode ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO จริงหรือไม่ ?
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน รูปแบบการประมวลผลข้อมูล รวมถึงพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง การพิมพ์คำค้นหาลงไปในเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) อย่าง Google เพื่อค้นหาคำตอบหรือผลลัพธ์ที่ต้องการจากหน้าเว็บไซต์ด้วยตนเอง จึงอาจไม่ใช่วิธีการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบันที่ต้องการคำตอบที่มีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ Google จึงได้มีการพัฒนา Google AI Mode ขึ้นมา เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการค้นหาข้อมูลให้ ฉลาดกว่า รวดเร็วกว่า และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้มากกว่าเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านจากระบบ Search Engine ไปสู่ AI-Powered Answer Engine นี้เอง ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้การทำ SEO ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโอกาสในการได้รับการมองเห็นจากผู้ใช้งานผ่านหน้า Google Search Engine Result Page:SERP หรือหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google นั่นเอง
Google AI Mode คืออะไร ?
Google AI Mode เป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการค้นหาข้อมูลของ Google ที่เพิ่งเปิดตัวในงานประชุมประจำปี Google I/O 2025 ที่ถูกจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดย Google AI Mode เป็นฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากฟีเจอร์ AI Overviews ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในงาน Google I/O 2024
เนื่องจากเดิมทีแล้ว ฟีเจอร์ AI Overviews นั้นได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นมาให้สามารถรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ แล้วนำมาประมวลผลใหม่เพื่อใช้เป็นคำตอบแบบองค์รวม (Overview) ที่ผู้ใช้งานสามารถอ่านและเข้าใจได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปอ่านทำความเข้าใจเนื้อหายาว ๆ จากหลายหน้าเว็บไซต์เหมือนแต่ก่อน
อย่างไรก็ตาม ด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนแปลงจากถามคำถามแบบสั้น ๆ เช่น วิธีปลูกมะเขือเทศ ไปสู่การถามคำถามแบบประโยคยาว ๆ ที่มีความละเอียด ซับซ้อน และมีรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าต้องการปลูกมะเขือเทศบนระเบียงคอนโดที่มีแสงแดดไม่จัด ต้องดูแลอย่างไร และต้องรดน้ำบ่อยแค่ไหน?
Google จึงได้ต่อยอดและพัฒนา Google AI Mode ขึ้นมา โดยการนำเอาศักยภาพของโมเดล Gemini 2.5 ซึ่งเป็นโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงพลังที่สุดของ Google ในขณะนี้ มาใช้ประโยชน์ในการช่วยยกระดับการประมวลผลข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจนนำไปสู่การทำให้ Google AI Mode สามารถทำความเข้าใจกับภาษาของมนุษย์ และนำเสนอคำตอบทั้งในรูปแบบข้อความ รูปภาพ วิดีโอ รวมถึงลิงก์เว็บไซต์ที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และตรงประเด็นมากขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
Google AI Mode แตกต่างจาก AI Overviews อย่างไร ?
แม้ว่า Google AI Mode และ AI Overviews จะถูกพัฒนามาเพื่อประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำตอบต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาจากหลายหน้าเว็บไซต์เหมือนในอดีต แต่ทว่า Google AI Mode นั้นกลับมีความสามารถและความชาญฉลาดที่เหนือกว่า AI Overviews อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งในแง่ของการทำความเข้าใจคำถาม การสังเคราะห์ข้อมูล และวิธีการสร้างคำตอบที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้งมากกว่าการสรุปคำตอบแบบพื้นฐานของ AI Overviews
กล่าวคือ Google AI Mode ไม่ได้เป็นเพียงฟีเจอร์ที่สามารถช่วยสรุปข้อมูลและตอบคำถามได้อย่างละเอียดลึกซึ้งเหมือนอย่างที่ AI Overviews เคยทำ แต่ยังสามารถสร้าง Deep Search เพื่อค้นหาข้อมูลที่ลงลึกมากขึ้นกว่าเดิมหลายระดับ ร่วมกับการใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Query Fan-out ในการแตกคำถามชุดใหญ่ออกเป็นคำถามย่อยหลาย ๆ ข้อ เพื่อทำการค้นหาและสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดกลับมาเป็นคำตอบเดียวที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
จนเป็นผลให้ Google AI Mode สามารถนำเสนอคำตอบที่มีความเฉพาะเจาะจง ตรงใจ และทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมากกว่าคำตอบที่ได้รับจาก AI Overviews อย่างเทียบไม่ติด

Google AI Mode ส่งผลกระทบต่อ SEO มากแค่ไหน ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การมาถึงของ Google AI Mode ถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของวงการ SEO ในรอบหลายปี เพราะเมื่อพฤติกรรมของผู้ใช้งานเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง ไปสู่การตั้งคำถามแล้วได้คำตอบในทันที โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องคลิกเข้าเว็บไซต์เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของหน้าผลลัพธ์การค้นหา (Search Engine Results Page : SERP) จึงไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อการช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเหมือนอย่างที่เคยเป็น
กล่าวคือ แม้ว่าคุณจะทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ 1 บนหน้าผลลัพธ์การค้นหา หรือ SERP แต่ถ้าหาก Google AI Mode มีการสรุปคำตอบอย่างละเอียดและเข้าใจง่ายให้กับผู้ใช้งานตั้งแต่แรก ผู้ใช้งานก็มักจะไม่เลื่อนลงมาดูคำตอบหรือผลลัพธ์อื่น ๆ เพิ่มเติมอีกต่อไป จนเป็นผลทำให้เว็บไซต์ของคุณอาจมีอัตราการคลิกเข้าเว็บไซต์ (Click Through Rate : CTR) ที่ลดลง และอาจส่งผลต่อ Organic Traffic ที่ลดลงด้วยเช่นกัน แม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะอยู่อันดับสูงสุดก็ตาม
กลยุทธ์การทำ SEO ให้สอดรับกับยุค AI
เมื่อ Google AI Mode ได้กลายมาเป็นฟีเจอร์ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้นหาข้อมูลแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง บทบาทของการทำ SEO จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การสร้างเนื้อหาเพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง ๆ บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาอีกต่อไป แต่กลับต้องมุ่งไปสู่การทำให้เนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ถูก AI หยิบไปใช้เป็นคำตอบของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเดิมพันที่สูงกว่า อีกทั้งยังต้องการกลยุทธ์ที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
- การใช้ Schema Markup เพื่อทำให้ AI ของ Google AI Mode เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง
Schema Markup คือ ด่านแรกที่ช่วยให้ Google AI Mode สามารถเข้าใจได้ว่า เนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์คือเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร มีองค์ประกอบแบบไหน และเกี่ยวข้องกับคำถามของผู้ใช้งานหรือไม่ เพราะฉะนั้นแล้ว ยิ่ง Schema Markup มีความละเอียดและครอบคลุมกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ AI สามารถตีความข้อมูล มองเห็นความเชื่อมโยงของข้อมูล และหยิบเอาข้อมูลไปใช้เป็นคำตอบได้ง่ายกว่า
- การใช้ Long-tail Keywords เพื่อตอบคำถามของผู้ใช้งานที่ทำการค้นหาข้อมูลผ่าน Google AI Mode
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ผู้ใช้งานในปัจจุบันนี้นิยมค้นหาข้อมูลผ่าน Google AI Mode ด้วยการตั้งคำถามแบบประโยคแบบยาว ๆ กันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การเลือกใช้งาน Long-tail Keywords ที่มีความชัดเจน เฉพาะเจาะจง และสอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้งาน (Search Intent) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยทำให้ AI สามารถจับใจความของเนื้อหาได้อย่างตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น
- การสร้าง Original Content ที่โดดเด่นและมีคุณค่า
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในยุค Google AI Mode คือ กลยุทธ์การสร้าง Original Content หรือ เนื้อหาที่มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความลึกซึ้ง และมีคุณค่าเฉพาะตัว เพราะในยุคที่ AI สามารถเข้าถึงเนื้อหาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เนื้อหาที่ไม่มีความแตกต่าง รวมถึงเนื้อหาที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปในหลาย ๆ เว็บไซต์ มักจะไม่ถูก AI ให้ความสำคัญอีกต่อไป
แต่ในทางกลับกัน เนื้อหาที่มีความสดใหม่ มีแหล่งอ้างอิงข้อมูลที่ชัดเจน รวมถึงเนื้อหาที่มีความโดดเด่นมากกว่าแค่การรวบรวมข้อมูลทั่วไป มักจะได้รับการพิจารณาจาก AI และมีโอกาสถูกนำไปใช้เป็นคำตอบได้มากกว่า

Go Online Agency พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณยืนหยัดอย่างมั่นคงในยุค AI
ในยุคที่การแข่งขันบนโลกออนไลน์ยังคงทวีความเข้มข้นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Go Online Agency พร้อมทำหน้าที่เป็นพันธมิตรคนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถก้าวข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงและยืนหยัดในยุค Google AI Mode ได้อย่างมั่นคง เพราะที่ Go Online Agency เราเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การปรับกลยุทธ์ SEO ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบัน รวมถึงหลักการทำงานของ AI ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในทุกวัน อาจเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับหลาย ๆ ธุรกิจ
ดังนั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราที่มีความเข้าใจการทำงานของ Google AI Mode อย่างแท้จริง จึงพร้อมให้คำแนะนำและวางแผนการทำ SEO ให้กับคุณในทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ SEO ไปจนถึงการปรับโครงสร้างของเนื้อหาให้มีความเป็นมิตรกับ Google AI Mode เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแค่ติดอันดับ แต่ยังถูก AI เลือกไปใช้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน














